|
ขอบคุณข้อมูล ฐานเศรษฐกิจ (7 มิ.ย. 2560) [1531 Views]
|
ที่ผ่านมาตลาดรถยนต์นั่งเมืองไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายรัฐบาลที่เป็นผู้กำหนดทิศทางอุตสาหกรรม อันมีผลโดยตรงต่อการวางแผนโปรดักต์ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์
แม้จะเป็นรูปแบบที่เหมือนกันทั่วโลก ทว่านโยบายของรัฐบาลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยค่อนข้างดิ้นได้ จึงเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
โตโยต้า ถือเป็นพี่ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มีพลังในการกำหนดตลาดให้หันซ้ายหันขวา ทว่ายอดขายในกลุ่มรถยนต์นั่ง ช่วงนี้โดนทั้งฮอนด้า ตีบน มาสด้าขนาบล่าง หรือ 4 เดือนแรกของปี (ม.ค.-เม.ย. 60)โตโยต้าทำได้ 30,780 คันขณะที่ฮอนด้า 38,539 คันส่วนมาสด้า 11,050 คัน
แม้อัตราเติบโตของโตโยต้าจะพุ่งกว่า 60% แต่ถ้าพิจารณายอดขายและส่วนแบ่งการตลาด ปัจจุบันโดนฮอนด้าเบียดแซงขึ้นไปเรียบร้อย
อย่างไรก็ตามโตโยต้ายังมี 2 รถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าโดยภายในปลายปีนี้ โตโยต้าเตรียมปล่อย ยาริส ซีดานโปรดักต์ใหม่ในกลุ่มอีโคคาร์วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ1.2 ลิตร บล็อกเดียวกับ ยาริส แฮทช์แบ็ก ซึ่งมองตัวโปรดักต์ใน มุมนี้พอเข้าใจได้กับการมีอีโคคาร์ซีดาน เหมือนกับที่หลายๆค่ายทำกัน ทว่ามองในแง่ที่เอา วีออส (ใช้พื้นฐานเดียวกัน)มาเปลี่ยนโฉมแล้วยัดเครื่องเล็ก เพื่อสวมเข้าโครงการรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี นั่นหมายถึงโตโยต้าสามารถลดต้นทุนไปได้มหาศาล
แนวทางนี้ยิ่งตอกยํ้าเงื่อนไขที่ไม่ชัดเจนของโครงการอีโคคาร์ที่ว่า ต้องเป็นรถโมเดลใหม่ แต่สุดท้ายค่ายรถยนต์จับเก๋งซับคอมแพกต์ ตีตั๋วเด็กกันเป็นแถว และในอนาคตจะเหลือรถยนต์ซับคอมแพ็กต์เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำตลาดบ้างหรือไม่ยังเป็นคำถาม?
ยาริส ซีดาน หรือก็คือ วีออส เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร จะเป็นอีกปรากฏการที่น่าจับตามอง ด้วยราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากแต้มต่อภาษีอีโคคาร์ ที่สำคัญวีออส ไมเนอร์เชนจ์เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรบล็อกใหม่ ขยับราคาขึ้นไป 10,000-40,000 บาทแลว้ แตรุ่น่ เพื่อเปิดช่องให้น้องใหม่ของตระกูลอีโคคาร์เอาไว้แล้ว
นั่นหมายถึง ใครต้องการซับคอมแพ็กต์ตัวถังซีดานเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเกียร์อัตโนมัติของโตโยต้าจำเป็นต้องจ่ายเงินถึง 6.79 แสนบาทในรุ่น 1.5E ขณะที่ยาริส ซีดาน เครื่องยนต์1.2 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ ราคาจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า หรือระดับ 5-6 แสนบาท
ทั้งนี้ ยาริส แฮตช์แบ็กและซีดาน น่าจะขายดีและครองแชมป์กลุ่มอีโคคาร์อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่าการทำตลาดตัวถังใหม่ ก็มีโอกาสกินยอดขาย วีออสของตัวเองเช่นกัน
นอกจากนี้ โตโยต้ายังมีทีเด็ดกับเอสยูวีไฮบริดรุ่น ซี-เอชอาร์ เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าพรอ้ มแบตเตอรี่แบบนิกเกิลเมทัลไฮดราย คาดว่าจะทำตลาดต้นปีหน้าในราคากว่า 1 ล้านบาท
ด้วยรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวสดใหม่และการเป็นเอสยูวีหรือครอสโอเวอร์ตามสมัยนิยม แปะแบรนด์โตโยต้าทั้งยังรับภาษีสรรพสามิตที่ตํ่าลงอีก 50% จากอัตราเดิมเมื่อพิจารณาการปล่อยไอเสียไม่ถึง 100 กรัมต่อกิโลเมตร(สเปกยุโรป) นั่นหมายถึง ซี-เอชอาร์ จะเสียภาษีสรรพสามิตเพียง5% เท่านั้น (มีข้อแม้คือต้องใช้แบตเตอรี่จากโรงงานที่บีโอไอกำหนด)
ทั้ง 2 โมเดลถือเป็นการเติมเต็มรถยนต์ในพอร์ตของโตโยต้าให้แข็งแกร่งหากแนะนำโปรดักต์ลงสู่ตลาดในจังหวะเวลาที่สมบูรณ์แบบ กับราคาขายและออพชันที่คุ้มค่า ด้วยการสนับสนุนด้านภาษีจากนโยบายรัฐบาลยักษ์ใหญ่รายนี้ก็เตรียมผงาดฟาดเรียบอีกครั้ง
|