 |
ขอบคุณข้อมูล MGR Online (20 ก.พ. 2019) [1562 Views]
|
ตลาดรถเอนกประสงค์ขนาดเล็ก หรือ มินิ เอ็มพีวี(Mini MPV) ของไทย ถูกปลุกให้กลับมาอยู่ในกระแสได้อีกครั้ง หลังการมาของ 2 โมเดลใหม่ที่ถือว่าเป็นมวยถูกคู่ที่สุดในขณะนี้
นำโดย ซูซูกิ เออร์ทิก้า ที่เพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ขณะที่อีกหนึ่งรุ่นนั้นเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กันคือ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว
การเปิดตัวของ 2 โมเดลใหม่ดังกล่าว ในช่วงเวลาห่างกันไม่นานนัก ย่อมทำให้หลายคนหยิบมาเปรียบเทียบกันอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะที่ยังมีอีกหลายรุ่นในตลาดที่อยู่ในเซ็กเม้นท์เดียวกัน ได้แก่ โตโยต้า อะแวนซ่า, ฮอนด้า โมบิลิโอ โดยน่าจะรวมไปถึง ฮอนด้า บีอาร์-วี และ โตโยต้า เซียนต้า อีกด้วย
เทียบมิติใครใหญ่
ด้วยข้อความสื่อสารทางการตลาดของ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ที่ให้เรียกรถรุ่นนี้ของเขาว่าเป็น ครอสโอเวอร์ คือ เป็นรถที่มีการผสมข้ามพันธุ์ระหว่าง เอสยูวี กับ เอ็มพีวี ส่วน ซูซูกิ เออร์ทิก้า ประกาศชัดเจนว่า เป็นรถแบบ มินิ เอ็มพีวี
เมื่อมองไปที่ความสูงของใต้ท้องรถ เอ็กซ์แพนเดอร์สูงกว่า 20-25 มม. หรือราว 1 นิ้ว เรียกว่า แตกต่างเพียงเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจได้ว่า เป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง ในการสร้างความแตกต่างเพื่อสื่อสารการตลาดให้เป็นที่น่าสนใจและจดจำของลูกค้า โดยเราควรที่จะรู้เท่าทันกลยุทธ์ทางการตลาดเหล่านี้ไว้บ้างก็ไม่เสียหายอะไร
ถัดมาเป็นขนาดตัวถังโดยรวม เอ็กซ์แพนเดอร์ ทั้งกว้าง/ยาว/สูงกว่า ในทุกมิติ แม้จะไม่มากนักแต่ถือว่าโดยรวมแล้วตัวรถใหญ่กว่า โดยประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องของความสวยงามจากการออกแบบ ซึ่งความสวยเราถือเป็นเรื่องนานาจิตตัง ที่แต่ละคนมองความสวยงามแตกต่างกันออกไป
ดังนั้น ถ้าจะให้บอกว่าคันไหนสวยกว่า คงต้องตอบว่า แล้วแต่ชอบ ไม่ขอออกความเห็น
พลังความแรงเท่ากัน
ด้านของพละกำลังนั้น เดิม ซูซูกิ เออร์ทิก้า บรรจุเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร ในเชิงเทคนิคแล้วแทบไม่มีความแตกต่างกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แต่ในแง่ของจิตวิทยาและการรับรู้ของคนไทย ผู้บริโภคชาวไทยมีความเชื่อว่า เครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร ถือว่าเป็นเครื่องเล็กเกินไป ทำให้ยอดขายของ เออร์ทิก้า โฉมแรกไม่เปรี้ยงปร้างเท่าใดนัก
สำหรับ โฉมปัจจุบัน เออร์ทิก้า เลือกคบหากับเครื่องยนต์ตัวใหม่ ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ซึ่งมีกำลังเท่ากันกับ เอ็กซ์แพนเดอร์ ที่มีขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า แต่ต่างกันเล็กน้อยที่แรงบิดสูงสุด ซึ่งเอ็กซ์แพนเดอร์ เคาะที่ตัวเลข 141 นิวเมตร
ด้านระบบส่งกำลัง ทั้งคู่คบหากับเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 สปีด เนื่องจากเห็นว่าเพียงพอต่อการใช้งานในการเป็นรถแบบครอบครัว ซึ่งก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก หลังจากที่ทีมงานเราได้ทดลองขับมาแล้วทั้งสองรุ่น
เพียงแค่หากว่าใช้เทคโนโลยีใหม่หรือเป็นแบบ 5 เกียร์ น่าจะทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีกว่านี้
โดย ซูซูกิ เออร์ทิก้า มีอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยที่ 15.9 กม./ลิตร (ตามมาตรฐานอีโคสติ๊กเกอร์) และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ มีอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยที่ 14.5 กม./ลิตร
เออร์ทิก้า ทำคะแนนได้ดีในเรื่องความประหยัด รวมถึงเออร์ทิก้ามีการปล่อยค่าคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าอีกด้วย (เออร์ทิก้า-146 กรัม/กม. เอ็กซ์แพนเดอร์-161กรัม/กม.) และทั้งสองรุ่นสามารถเติมน้ำมันเบนซิน E20 ได้
ในส่วนของระบบความปลอดภัยนั้น ทั้งสองรุ่นถือว่าใส่มาให้แทบจะเหมือนกัน ต่างกันเพียง เอ็กซ์แพนเดอร์มีระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) เพื่มเติมเข้ามา ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเช่นเดียวกัน
ค่าตัวห่างกันหลักแสน
มาถึงประเด็นสำคัญ คือ เรื่องของราคา หลังจากที่เทียบสเป็กแล้ว มีความแตกต่างกันไม่มาก แต่เมื่อเทียบกับราคาขาย จะเห็นส่วนต่างราคามากถึงระดับแสนกว่าบาท เมื่อเทียบกันแบบรุ่นต่อรุ่น
ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของภาษีสรรพสามิตที่เอ็กซ์แพนเดอร์เสียในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ และ เออร์ทิก้า เสีย 25 เปอร์เซ็นต์ อาจจะดูเหมือนไม่มากแต่ 5 เปอร์เซ็นต์นั้น ตีเป็นตัวเงินแบบหยาบๆ ต้องมีส่วนต่างไม่น้อยกว่า 30,000 บาท ขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่า ทั้ง 2 รุ่น (รวมถึงรุ่นอื่นๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดในเซ็กเม้นต์นี้) ต่างเป็นรถที่ผลิตจากประเทศอินโดนีเซีย แล้วนำเข้ามาขายในเมืองไทย ภายใต้ข้อกำหนดเขตการค้าเสรีอาเซียน เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่สุดของรถประเภทนี้
ซึ่งจะมีเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับคุณภาพของการประกอบตามหลังมาด้วยทุกรุ่น เนื่องจากตลาดอินโดนีเซีย ไม่ได้มีความต้องการรถที่มีการประกอบที่เนี้ยบแบบเมืองไทย ดังนั้น รถที่ส่งเข้ามา ก่อนจะนำออกมาขายจะมีการตรวจสอบ รวมถึงปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนบางอย่างเพื่อให้เหมาะสมกับประเทศไทย
สำหรับหัวข้อนี้ เอ็กซ์แพนเดอร์ได้ใส่สิ่งที่คนไทยต้องการเพิ่มเข้ามาด้วย เช่น เบาะนั่งหนังแท้ เป็นต้น
ทั้งนี้ ยังมีในส่วนของการรับประกันที่ทางมิตซูบิชิ มอบให้กับรถเอ็กซ์แพนเดอร์เป็นระยะเวลานานถึง 5 ปี มากกว่า ซูซูกิ ที่ให้เพียง 3 ปี และยังมีในส่วนของค่าแรงตรวจเช็คระยะ มิตซูบิชิ ฟรี ตลอดระยะการรับประกัน ส่วนซูซูกิ ฟรี เพียง 4 ครั้งแรกเท่านั้น
หายแปลกใจหรือยัง ว่าทำไม เอ็กซ์แพนเดอร์จึงมีราคาสูงกว่า
พ่อบ้านใจกล้าต้องกล้าเลือก
ถึงบรรทัดนี้ หากไม่นับเรื่องความสวยงามและตรายี่ห้อ มองที่ตัวรถล้วนๆ ด้วยราคาที่ ซูซูกิ เออร์ทิก้า ถูกกว่านับแสนบาท แทบไม่ต้องคิดมากเลย หากคุณกำลังมองหารถแบบครอบครัวไว้ใช้งาน ภายใต้เงื่อนไขคำว่า คุ้มค่าคุ้มราคา
ส่วนเอ็กซ์แพนเดอร์ จ่ายแพงกว่าแต่ก็ได้อะไรที่มากกว่า ขึ้นกับว่าคุณต้องการส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามานั้นด้วยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม รถในเซ็กเม้นท์นี้แม้พ่อบ้านใจกล้าจะชอบคันไหน สุดท้ายการตัดสินใจคงจบลงตรงที่ เลือกคันที่ภรรยาชอบ น่าจะเป็นคำตอบดีที่สุด
| 
