เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ที่ผ่านมา สำหรับฟอร์ดที่อวดโฉมรถ 3 รุ่น ทั้ง เรนเจอร์, แรพเตอร์ และ เอเวอเรสต์ ซึ่งวันนึ้ผมจะพาไปลองขับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นอย่างไร มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
สำหรับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ (Ford Everest) ที่จัดแสดงในงาน บางกอก มอเตอร์โชว์ วันนั้น ฟอร์ด เปิดตัวแค่ 2 รุ่นย่อย แต่เมื่อเตรียมจะทำตลาดจริงจังและเริ่มส่งมอบในเดือนสิงหาคม ฟอร์ด ก็เสริมตลาดรุ่นย่อยมาอีกหลายรุ่น
สำหรับ เอเวอเรสต์ ใหม่ มีพัฒนาการขึ้นจากโฉมเดิมไม่น้อย หน้าตาในมุมมองของผมดูสวยงามขึ้น พรีเมียมขึ้น มีความเป็นเอสยูวีมากขึ้น ด้านท้ายดูเหมือนจะได้กลิ่นอายของรถสปอร์ต มัสแตง มาอยู่ใน พีพีวี คันนี้
และก่อนการจะส่งมอบอย่างเป็นทางการ ฟอร์ด จัดกิจกรรมทดสอบ เอเวอเรสต์ เบื้องต้นพอหอมปากหอมคอ กับสื่อมวลชนหลายประเทศที่เมืองกาญจน์บ้านเรา ทั้งออนโรด ออฟโรด แม้จะระยะทางไม่ไกลนัก แต่ก็พอได้รับรู้อารมณ์หลายๆ อย่างของรถ รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ
โดยงานนี้ เอียน ฟอสตัน หัวหน้าวิศวกรแพลตฟอร์ม T6 มาเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดในการออกแบบของรถ ตั้งแต่ตัวถังภายนอก สมรรถนะในการขับขี่ ความสะดวกสบายและความประณีตภายในห้องโดยสาร รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและระบบเชื่อมต่อที่ได้รับการยกระดับขึ้นไป
นอกจากรถที่ลองขับแล้ว ฟอร์ด ยังขน เอเวอเรสต์ ใหม่ มาจอดให้ได้ชมตัวจริงกันครบ 4 รุ่นย่อย ที่จะจำหน่ายในไทย ประกอบด้วย
-ไทเทเนียม พลัส 4x4 10AT เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter 10 สปีด ให้กำลัง 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที ราคา 1,854,000 บาท
-ไทเทเนียมพลัส 4x2 10AT เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ เกียร์อัตโนมัติแบบ SelectShift 10 สปีด ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ราคา 1,704,000 บาท
-สปอร์ต 4x2 6AT เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ราคา 1,464,000 บาท
-เทรนด์ 4x2 6AT เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลัง 170 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที และให้แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ราคา 1,334,000 บาท
และสำหรับการลองขับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ วันนี้ รุ่นที่ผมลองเป็นตัวท็อป ไทเทเนียม พลัส 4x4 10AT ซึ่งมีโหมดการขับที่หลากหลาย และรวมการควบคุมเอาไว้ที่เดียว ใกล้ๆ คันเกียร์ ใช้งานง่าย แค่หมุนๆ กดๆ เท่านั้น
ซึ่งโหมดการขับขี่ประกอบด้วย
-โหมดปกติ:สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
-โหมดประหยัด: ทำงานด้วยการประเมินพฤติกรรมการขับขี่ และปรับการทำงานของระบบส่งกำลังและระบบควบคุมความเร็วให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้การใช้งานประหยัดน้ำมันมากที่สุด
-โหมดทางลื่น: ปรับการทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ และระบบควบคุมการยึดเกาะถนน เพื่อลดโอกาสล้อหมุนฟรี ป้องกันการลื่นไถล
-โหมดโคลน: เหมาะกับการใช้งานหลากหลายเส้นทางส ไม่ว่าจะเป็นทาง โคลน กรวด ร่องดิน โดยโหมดนี้จะเพิ่มการทำงานของระบบดิฟล็อคหลังไฟฟ้าที่ทำงานแบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มการยึดเกาะให้เต็มประสิทธิภาพและรักษากำลังของรถไว้ ควบคู่กับการปล่อยให้ล้อหมุนด้วยความเร็วเพื่อรีดโคลนออกจากดอกยาง และเมื่อใช้โหมดนี้ กล้องมองรอบคัน 360 องศา จะทำงานอัตโนมัติ ช่วยให้ดูเส้นทางได้สะดวก รวมถึงเส้นทางข้างหน้าที่มองด้วยตาไม่เห็น เช่น กำลังจะลงเนิน ลงบ่อ ทำให้ไม่จำเป็นต้องลงจากรถมาดูเส้นทางก่อน
ที่บอกว่าใช้งานง่าย เพราะแค่หมุนปุ่มควบคุมขณะขับขี่ ระบบก็จะเปลี่ยนการทำงานให้อัตโนมัติ ยกเว้นว่าถ้าจะเปลี่ยนระบบที่จำเป็นต้องใช้การขับเคลื่อนแบบต้องการแรงบิดสูงที่ความเร็วต่ำ หรือ 4L ต้องจอดรถใส่เกียร์ N ก่อน
แต่เมื่อปรับเปลี่ยนแล้วบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องกดหลายขั้นตอน เช่น ใช้โหมดโคลน ที่เกียร์ 4L เมื่อจอด รถใส่เกียร์ N แล้วหมุนปุ่มควบคุมไปที่โหมดอื่น ไม่ว่าจะเป็นโหมดถนนลื่น โหมดปกติ โหมดประหยัด ระบบจะเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4H หรือ 2H ให้เอง
การขับขี่บนทางเรียบ เอเวอเรสต์ ให้ความรู้สึกดีทีเดียว รถนิ่ง พวงมาลัยไฟฟ้า น้ำหนักดี แม่นยำ ควบคุมรถในทางโค้งได้ไม่ยาก ช่วงล่างก็เกาะถนนได้ดี รวมถึงความเงียบในห้องโดยสารที่ทำได้ดีเสียงรบกวนมีเข้ามาน้อย
แต่อย่างไรก็ตามในส่วนนี้ผมจะไม่พูดถึงมากนัก เพราะว่าขับระยะทางไม่มากเท่าไร เอาเป็นว่าหลังจากนี้เมื่อได้ลองใช้งานกันยาวๆ จะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกรอบ
ส่วนการยขับขี่เส้นทางนอกถนน สิ่งแรกที่จับความรู้สึกได้คือ ความนุ่มนวลของช่วงล่างที่ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมแบบรู้สึกได้ การดูดซับแรงสั่นสะเทือนทำได้ละเอียดขึ้น จังหวะการกระแทกกระทั้นลดลง ช่วยให้นั่งได้สบายขึ้น ทั้งเบาะนั่งแถวหน้า รวมถึงผู้โดยสารแถว 2 ส่วนเบาะแถว 3 ยังไม่ได้ได้ลองนั่ง
ส่วนหนึ่งน่าจะป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนตำแหน่งจุดยึดหัวโช้ค ที่นำออกไปไว้นอกแชสซีส์ ช่วยให้การกระจายแรงต่างๆ ดีขึ้น แรงที่เข้ามาในห้องโดยสารลดลง
ความรู้สึกนี้จับได้ไม่ว่าจะเป็นการขับช้าๆ หยอดไปตามเส้นทางขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือว่าการขับด้วยความเร็วในเส้นทางที่หลุมร่องตื้นหน่อย กับโหมดทางลื่น
ซึ่งเส้นทางที่ใช้โหมดทางลื่นกับ 4H นั้น มีทั้งทางที่ลื่นจากฝน และทางที่ลื่นจากผิวเส้นทางที่เป็นดิน หินลอย กรวด ลูกรัง เป็นเส้นทางที่ผมชอบที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ เพราะใช้ความเร็วได้ และสามารถควบคุมรถให้ลัดเลาะไปทางแคบๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง
ถ้าหากว่าหลุดออกนอกเส้นทาง อย่างน้อยสีตัวถังรถรถมีปัญหาแน่ แต่ช่วงล่าง และระบบควบคุมการขับขี่ เอเวอเรสต์ ทำหน้าที่ได้ดี ไม่ออกนอกเส้นทาง แม้จะมีอาการลื่นไหลบ้างในช่วงโค้งๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ทั้งหมดก็ถูกแก้ไขได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งจากตัวรถเอง และการแก้พวงมาลัยแค่เล็กน้อย
ที่ผมบอกว่าชอบมากที่สุด เพราะการขับในช่วงอื่นๆ แม้จะดูว่ายาก แต่มันไม่ยาก เช่นลุยน้ำระดับเกินครึ่งล้อ ปีนเนินหิน เนินดินชันๆ เพราะกำลังของเครื่องยนต์มันพาไปได้สบายๆ ไม่ต้องออกแรงอะไร กดคันเร่งเบาๆ นิ่งๆ ก็ค่อยๆ ปีนขึ้นไป ไม่มีอะไรต้องลุ้น
รวมถึงการกระจายแรงบิดไปยังล้อต่างๆ ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดี เพราะฉะนั้นบางช่วงบางตอนที่บางล้อลอยๆ หรือ จม จึงไม่มีปัญหาที่จะพารถออกจากอุปสรรคตรงนั้นได้
เรียกว่า งานออฟโรด ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ เอเวเรสต์ เรื่องยากอย่างเดียว คือ การที่เจ้าของรถจะพามันไปตะลุยเส้นทางแบบนี้ต่างหาก
แต่อย่างน้อยทางวิบาก กับโหมดถนนลื่น น่าจะมีโอกาสได้ใช้จริงกันมากกว่า ซึ่งหลายคนน่าจะชอบ ตามที่ผมบอกครับ คือ คุมรถได้ง่ายในทางลื่นๆ แบบนี้ ทำให้การเดินทางดูเป็นธรรมชาติ และไม่เสียเวลา
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ยังใส่ระบบที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการขับขี่เข้ามาอีกหลายอย่าง แม้บางระบบผมไม่คิดจะใช้ แต่ก็ลองดู และก็ต้องบอกว่ามันฉลาดดี ทำงานได้แม่นยำ เช่น ระบบจอดอัตโนมัติ ทั้งจอดขนาน และจอดเข้าซอง
ที่บอกว่าดี เพราะว่ามันทำงานได้เร็ว ไม่ยึกยักมาก โดยผู้ขับไม่ต้องทำอะไร ปล่อยมือจากพวงมาลัย ปล่อยเท้าจากคันเร่ง เบรก และใช้นิ้วเดียวกดปุ่มควบคุมใกล้ๆ คันเกียร์ค้างไว้ ระบบก็จะทำงานให้ต่อเนื่อง แต่ถ้าปล่อยนิ้วออก รถก็จะหยุดชั่วคราว แต่ยังไม่ลืมหน้าที่ หมายถึงว่าเมื่อกดซ้ำไปอีกครั้ง มันก็จะเริ่มทำงานต่อทันที
ที่สำคัญคือ เมื่อจอดได้ที่แล้ว คันเกียร์จะเปลี่ยนตำแหน่งได้เอง ไปอยู่ที่ P โดยเราไม่ต้องโยกเอง
ทั้งนี้เพราะเกียร์ของฟอร์ด เอเวอเรสต์ เป็นแบบ E Shifter
ส่วนการเบรกฉุกเฉิน เช่น ถอยหลังแล้วมีสิ่งกีดขวาง ระบบจะเบรกให้อัตโมมัติ และหยุดนิ่งประมาณ 3 วินาที หากผู้ขับไม่ทำอะไรต่อมันก็จะถอยต่อไปให้เช่นเดิม เพราะส่งสัญญาณเตือนแล้ว หลังจากนั้นจะอยู่ที่การตัดสินใจของผู้ขับที่ก็มองเห็นเส้นทางด้านหลังได้ชัดเจนเช่นกัน จากกล้องมองหลังที่คุณภาพภาพคมชัดดี
นั่นคือสิ่งที่จับความรู้สึกได้จาการลองขับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นครั้งแรก ซึ่งค่อนข้างทำได้ดีเลยทีเดียว
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 14/07/2022 โดย สินธุ์ชัย ภมรพล [807 Views]
รายละเอียด สเปครถยนต์ : 2022 FORD EVEREST
|